รถโฟล์คลิฟท์ เลือกซื้ออย่างไรให้คุ้มค่าคุ้มราคา

2185

รถโฟล์คลิฟท์ เลือกซื้ออย่างไรให้คุ้มค่าคุ้มราคา

          รถโฟล์คลิฟท์ มีวัตถุประสงค์หลักๆ ในการใช้งานคือ ใช้ยก-ย้ายของหนัก แต่เคลื่อนได้เหมือนรถเพื่อความสะดวกในการย้ายของหนัก บางคนจึงมองว่า รถโฟล์คลิฟท์ ไม่ใช่รถ แต่เป็นเครื่องจักรสำหรับงานยกของ มีตัวยกยื่นออกมาตรงหน้ารถ 2 ชิ้นมีความยาวเพื่อยกของได้ และระบบยกขึ้นลง

เรื่องที่ต้องคำนึงถึงก่อนตัดสินใจซื้อรถโฟล์คลิฟท์       
            จะเลือกซื้อรถโฟล์คลิฟท์ แล้วคุ้มค่ากับการใช้งานนั้น ต้องคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้

  1. งานของคุณ มีลักษณะอย่างไร ใช้ในสถานที่ไหน มีความจำเป็นต้องยกน้ำหนักเท่าไร
  2. งบประมาณของคุณมีเท่าไหร่

ซื้ออย่างไรให้คุ้มค่า คุ้มราคา

1.เลือกขนาดรถให้เหมาะกับน้ำหนักของที่ต้องการใช้ หลักการก็คือ ขนาดตันของรถต้องหนักกว่าของที่ต้องใช้ยก 500 กิโลกรัม รถขนาดใหญ่เกินกว่าของที่จะยกมากเกินไป ทำให้สิ้นเปลืองหลายส่วน และเกินจำเป็น ไม่ควรซื้อให้น้ำหนักรถกับน้ำหนักของเท่ากันด้วย เพราะมีผลขณะยกของ ทำให้ท้ายรถลอย อันตราย

2.เลือกประเภทรถใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลนั้น ต้องดูที่ลักษณะของหน้างาน เนื่องจากน้ำมันสองประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ราคาก็แตกต่าง แต่ถ้าหน้างานของคุณอยู่กลางแจ้ง มีโอกาสเจอฝน อย่างไรก็ต้องเลือกรถที่เป็นเครื่องดีเซล แม้ว่า จะมีปัญหาเรื่องควันไอเสีย แต่ถ้าหน้างานเน้นในร่ม ใช้เครื่องเบนซินจะเหมาะกว่า เพราะมีความคล่องตัวดีกว่า

3.เลือกรถเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโต้ให้เหมาะกับลักษณะงาน เหมาะเกียร์สองแบบเหมาะกับงานต่างกัน เกียร์ออโต้มีค่าบำรุงสูงกว่า แต่เหมาะมากในงานที่ต้องยกขึ้นลงจากตู้คอนเทนเนอร์ แต่ถ้าต้องมีการวิ่งระยะทางยาวๆ เลือกเกียร์ธรรมดาจะดีกว่า ประหยัดกว่า

4.งบประมาณที่คุณมี เป็นปัจจัยสำคัญทำให้บางครั้งต้องตัดสินใจซื้อรถมือสองแทนรถใหม่ เพราะราคาถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง ในสภาพรถที่ยังใช้งานได้ดี เช่น รถโฟล์คลิฟท์มือสองจากญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ควรประหยัดมากจนเกินไป เพราะรถมือสอง สาม สี่ ที่สภาพไม่ดีนั้น ถูกก็จริง แต่คุณต้องเสียค่าซ่อมหนัก จนอาจจะเกินราคาค่ารถ

5.ควรซื้อรถโฟล์คลิฟท์ที่มีประกันหลังการขายด้วย อาจต้องลงทุนเพิ่มอีกหน่อย แต่ไม่ต้องมาเสียเวลา หรือเสียอารมณ์เรื่องซ่อม เพราะบางทีค่าซ่อมเกินค่าประกัน หรืออีกอย่างก็คือ การซ่อมบ่อยก็ทำให้คุณเสียโอกาสในการใช้งานไป

เลือกซื้อรถโฟล์คลิฟท์ด้วยขนาด และราคาให้พอเหมาะกับงานที่ต้องใช้จริงๆ ไม่ลงทุนมากเกินกว่าที่จำเป็นต้องใช้ จึงเป็นการซื้อที่คุ้มค่า คุ้มราคา